แบบบ้านใหม่ต้านแผ่นดินไหวสูงสุด 6.9 ริกเตอร์!
บ้านทั้ง 3
แบบนี้เป็นแผนการดำเนินงานของบริษัท โฟร์พัฒนา จำกัด
ดีไซน์มาเพื่อลดความเสี่ยงภัยจากกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่สามารถป้องกันได้สูงถึง 6 - 6.9 ริกเตอร์
ขณะที่โครงสร้างบ้านโดยทั่วไปกฎหมายระบุให้สามารถรับแรงต้านได้เพียง 5 ริกเตอร์เท่านั้น
นายปราโมทย์ ธีรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์พัฒนา จำกัด บอกว่า ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นประมาณ 40,000-100,000 บาท ต่อยูนิต หรือประมาณ 0.5-1% ของราคาบ้าน
สำหรับรายได้ของบริษัทในครึ่งปีแรกมียอดรับรู้รายได้แล้วประมาณ 248 ล้านบาท และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะสามารถทำได้ประมาณ 410 ล้านบาท บริษัทตั้งเป้ามียอดรับรู้รายได้ทั้งปี 660 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ยอดขายหรือยอดเซ็นสัญญารับสร้างบ้านใหม่ในครึ่งปีแรกมียอด 21 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 250 ล้านบาท คาดว่าจะได้ยอดเพิ่มอีก 34 หลังในครึ่งปีหลังมูลค่า 350 ล้านบาทหรือเท่ากับยอดขายใหม่ทั้งปี 600 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดรับรู้รายได้ 637 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบ้างโดยเฉพาะผู้บริโภคที่ชะลอการสร้างบ้าน แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แต่อย่างไรก็ตามต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดว่าภาพรวมตลาดรับสร้างในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5-7% หรือมีมูลค่ามากกว่า 55,000 ล้านบาท
ที่มา http://www.matichon.co.th
นายปราโมทย์ ธีรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์พัฒนา จำกัด บอกว่า ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นประมาณ 40,000-100,000 บาท ต่อยูนิต หรือประมาณ 0.5-1% ของราคาบ้าน
สำหรับรายได้ของบริษัทในครึ่งปีแรกมียอดรับรู้รายได้แล้วประมาณ 248 ล้านบาท และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะสามารถทำได้ประมาณ 410 ล้านบาท บริษัทตั้งเป้ามียอดรับรู้รายได้ทั้งปี 660 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ยอดขายหรือยอดเซ็นสัญญารับสร้างบ้านใหม่ในครึ่งปีแรกมียอด 21 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 250 ล้านบาท คาดว่าจะได้ยอดเพิ่มอีก 34 หลังในครึ่งปีหลังมูลค่า 350 ล้านบาทหรือเท่ากับยอดขายใหม่ทั้งปี 600 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดรับรู้รายได้ 637 ล้านบาท
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นบ้างโดยเฉพาะผู้บริโภคที่ชะลอการสร้างบ้าน แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แต่อย่างไรก็ตามต้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดว่าภาพรวมตลาดรับสร้างในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จะมีอัตราการเติบโตประมาณ 5-7% หรือมีมูลค่ามากกว่า 55,000 ล้านบาท
ที่มา http://www.matichon.co.th
ไม่มีความคิดเห็น: